26 สิงหาคม 2554

สุโขทัยระทม น้ำท่วมซ้ำซากรอบที่ 6




ชาวสุโขทัย สุดระทม น้ำยมทะลักท่วมซ้ำซากเป็นรอบที่ 6 ในปีนี้ ถนนสายหลักถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร หลายพื้นที่เดือดร้อนหนัก...

หลังจากที่เกิดสถานการณ์ น้ำท่วม ในพื้นที่ จ.สุโขทัย เป็นรอบที่ 6 ตั้งแต่วันที่ 21 สค.เป็นต้นมา ส่งผลทำให้ หลายพื้นที่ ในเขต อ.เมือง จมอยู่ใต้น้ำได้รับความเดือดร้อนอีกครั้ง โดยเฉพาะ ในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี กระแสน้ำซึ่งทะลักออกมาจากแม่น้ำยม รวมกับน้ำที่ล้นออกจากสปินเวย์ ภายในอ่างกักเก็บน้ำขนาดยักษ์ ทุ่งทะเลหลวง ต.บ้านกล้วย ได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในชุมชนคลองโพธิ์ ชุมชนคูหาสุวรรณ ชุมชนราชธานี และ ชุมชนวังหิน ได้รับความเสียหายหนัก ถนนจรดวิถีถ่อง ตั้งแต่ เชิงสะพานพระร่วง ฝั่งตะวันตก ต.ธานี เรื่อยไปจนถึง สี่แยกคลองโพธิ์ ต.บ้านกล้วย ระยะทางยาวกว่า 3 กม. ก็ถูกน้ำไหลทะลักเข้าท่วมอย่างรวดเร็ว ทำให้ มีน้ำท่วมขังบนถนน สูงประมาณ 30 ซม.-50 ซม.
ทางหลวงหมายเลข 12 (สุโขทัย-ตาก) ต.บ้านกล้วย อ.เมือง เส้นทางจาก สี่แยกคลองโพธิ์ มุ่งหน้า จ.ตาก มีระดับน้ำท่วมสูงเกือบ 1 เมตร เป็นระยะทางกว่า 5 กม. เนื่องจาก ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาล ที่ไหลทะลักออกมาจากคลองแม่รำพัน ต.บ้านกล้วย ทำให้ โรงพยาบาลสุโขทัย และ โรงพยาบาลรวมแพทย์ ที่ตั้งอยู่บนถนนสายนี้ ต้องเสี่ยงต่อการถูกน้ำทะลักเข้าท่วม เจ้าหน้าที่ต้องนำกระสอบทราย มาวางเสริมเป็นแนวยาว เป็นการป้องกัน

นอกจากนี้ สถานศึกษาหลายแห่ง อาทิ เช่น วิทยาลัยสารพัดช่าง โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม โรงเรียนบ้านสนามบิน และ วิทยาลัยนาฎศิลป์สุโขทัย ก็ต้องปิดเรียนอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 25-28 สค. นี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เคยปิดมาแล้ว 1 อาทิตย์ เพื่อรอดูสถานการณ์น้ำ ชาวบ้านในพื้นที่ถูกน้ำท่วม ต้องอาศัย รถรับ-ส่ง ของ อบจ.สุโขทัย และ หน่วยงานอื่นๆ ที่มาคอยอำนวยความสะดวก

สำหรับผู้ที่จะเดินทางไป จ.ตาก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แนะนำให้ไปใช้ ถนนสายบ้านคลองยาง ม.13 ต.บ้านกล้วย แทน เนื่องจาก เส้นทางเดิม มีน้ำท่วมขังระดับสูง รถเล็ก ไม่สามารถวิ่งผ่านไปมาได้

ล่าสุด มีรายงานว่า เกิดรอยแยกเป็นบริเวณกว้าง บริเวณสะพานข้ามคลองแม่รำพัน หน้าวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัย ม.5 ต.บ้านกล้วย เนื่องจากมีกระแสน้ำค่อนข้างแรง ไหลกระแทกและกัดเซาะพื้นผิวสะพานต่อเนื่อง เกรงจะเกิดการทรุดตัว เป็นอันตราย จึงควรเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เช่น ถนนสายบ้านสนามบิน หรือ ถนนอาษานุสรณ์ หน้าสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตสุโขทัย แทน



อย่างไรก็ดี ในเวลา 13.00น. วันนี้ (25 ส.ค.) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิตติยาภา ทรงโปรดให้ ดร.อาทร จันทร์วิมล ประธานฝ่ายส่งเสริมกิจกรรม มูลนิธิอาสา เพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นผู้แทนพระองค์ มอบถุงยังชีพ จำนวน 2,041 ถุง ให้แก่ผู้ประสพภัยน้ำท่วมที่ วัดวังทอง ต.วังทอง อ.ศรีสำโรง พร้อมพันธุ์ปลานิล อีก 50,000 ตัว

โดยมี นายจักริน เปลี่ยนวงษ์ ผวจ.สุโขทัย ให้การต้อนรับ ซึ่งถุงยังชีพนี้ จะประกอบไปด้วย ข้าวสาร อาหารกระป๋อง เครื่องปรุง พร้อมของจำเป็นในการดำรงชีพพอเพียงใน 1 สัปดาห์ โดยกล่าวว่า ทั้งสองพระองค์ ทรงห่วงใยราษฎรที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับน้ำในเวลาที่ยาวนาน โดยปรับความช่วยเหลือจากเร่งด่วนในการปรุงอาหารสำเร็จ มาเป็นชุดยังชีพ เพื่อให้ทุกครอบครัว มีสิ่งของเตรียมพร้อม รับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง



อีกทั้ง ยังเป็นการนำร่องให้ชาวสุโขทัย รู้จักวิธีการใช้ชีวิตอยู่กับสภาวะน้ำท่วม โดยการนำผ้าพลาสติกมาตัดเป็นสี่เหลี่ยม ผูกกับไม้ทั้ง 4 ด้าน เจาะรูตรงกลางผ้า แล้วนำฝาขวดที่ตัดแล้วมาห่อผ้ามุ้ง เพื่อเป็นการกรองผง และขยะในเบื้องต้น จากนั้นนำสายยางให้เท่ากับฝาขวดมาต่อกันเพื่อให้น้ำฝนที่จะรองรับสามารถกักเก็บได้ในภาชนะที่เตรียมไว้ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถใช้กับชีวิตประจำวัน อีกทั้งได้นำตัวอย่างที่ประกอบแล้วแจกจ่ายให้ตัวแทนแต่ละหมู่บ้านนำกลับไปใช้งานด้วย

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/region/196866

ปัญหาการทำลายป่าชายเลน








พื้นที่ป่าชายเลนได้ลดลงอย่างมากจนเป็นที่น่าวิตก เนื่องจากการบุกรุกทำลายโดยการเปลี่ยนสภาพ
พื้นที่ป่าชายเลนไปทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือนำมาใช้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ชายฝั่ง (นากุ้ง) นอกจากนี้ก็ใช้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ท่าเทียบเรือถนน เหมืองแร่ การเกษตร เป็นต้น ทำให้พื้นที่ป่าชายเลน
ลดลงตลอดเวลา จนทำให้เกิดผลเสียต่อระบบนิเวศ อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัย การเพาะพันธุ์สัตว์น้ำชายฝั่ง
การกัดเซาะและการพังทลายของที่ดินบริเวณชายฝั่ง และคุณภาพน้ำชายฝั่ง เป็นต้น





เปรียบเทียบป่าชายเลนกับชีวิต
ป่าชายเลน ขุมทรัพย์แห่งท้องทะเล

ป่าชายเลน เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศชายฝั่งทะเล

ป่าชายเลน เป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำนานาชนิดที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
สังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนบ้าน

ป่าชายเลน เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด สัตว์น้ำตัวเล็กๆ ต้องอาศัยระบบรากที่ซับซ้อนของพืชป่าชายเลนสำหรับวางไข่
อนุบาลตัวอ่อนและหลบภัย ลิงแสมที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนก็ได้จับปู ปลา เป็นอาหาร

ดังนั้นการทำลายป่าชายเลน จึงเท่ากับเป็นการทำลายบ้านที่เป็นแหล่งอาหาร
ของสัตว์มากมาย


ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงครัว
ยามน้ำขึ้น ป่าชายเลนจะมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยฝูงปลาหลากหลายชนิดต่างพากันออกมา
หากินบนพื้นผิวป่าชายเลน ใบไม้ในป่าชายเลนที่ร่วงหล่น จะสลายตัวกลายเป็นธาตุอาหารอันอุดมสมบูรณ์
สำหรับการดำรงอยู่ของสัตว์น้ำนานาชนิด เพื่อเติบโตกลายเป็นอาหารอันโอชะของมนุษย์ต่อไป

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงไม้
ระบบนิเวศของป่าชายเลนถูกกำหนดด้วยการขึ้นลงของน้ำทะเลชาวบ้านจะช่วยกันปลูกป่า
เพื่อนำต้นไม้มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและหารายได้เลี้ยงครอบครัว
เช่น เผาไม้โกงกางเพื่อทำเป็นฟืนและถ่านที่มีคุณภาพดี
ใช้ไม้สร้างที่อยู่อาศัย ทำเครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องมือทำประมง เป็นต้น

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงยา
วิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าชายเลน
ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้จากรากเหง้าแห่งภูมิปัญญาการรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นต่อไป
ด้วยคุณค่าทางสมุนไพรของพันธุ์ไม้เกือบทุกชนิดในป่าชายเลน อาทิ เหงือกปลาหมอดอกม่วง
มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็ง โรคหืดหอบ วัณโรค และอัมพาต เป็นต้น

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงบำบัดน้ำเสีย
รากที่สลับซับซ้อนและหนาแน่นคล้าย "ตะแกรง" ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน มีศักยภาพสูง
ในการดูดซับสารพิษ และเก็บกักตะกอน กลั่นกรองขยะ สิ่งปฏิกูลของเสียต่างๆ ที่มาจากพื้นบก
อันเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เป็นการลดมลภาวะทางน้ำ ส่งผลให้น้ำใสสะอาด

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงฟอกอากาศ
ท่ามกลางสังคมเมืองที่แออัดทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศเพิ่มขึ้นหลายคนไขว่คว้า
หาอากาศบริสุทธิ์ป่าชายเลนจึงเป็นสวรรค์สำหรับคนเมือง เพราะช่วยฟอกอากาศ
สร้างความสดชื่นแก่ทุกคน ท่ามกลางกระแสน้ำขึ้นน้ำลงความโดดเด่นงดงามอย่างมหัศจรรย์
ของพันธุ์ไม้และเสียงกู่ร้องบรรเลงของสัตว์นานาชนิด

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนโรงเรียนธรรมชาติ
การศึกษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของป่าชายเลน
เปรียบเสมือนได้ท่องสำรวจในห้องสมุดขนาดใหญ่องค์ประกอบและเรื่องราวสรรพสิ่งต่างๆ
ในป่าชายเลน ล้วนมีคุณค่าควรแก่การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับระบบนิเวศชายฝั่งซึ่งเป็นต้นกำเนิด
อาหารโปรตีนที่สำคัญของโลก รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับป่าชายเลนได้อย่างมีความสุข

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนกำแพงธรรมชาติ
รากของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่โผล่ขึ้นมาแผ่กว้างเหนือดิน และหยั่งลึกลงใต้ดิน
ช่วยยึดเกาะดินไว้ไม่ให้พังทลาย ป่าชายเลนที่ขึ้นเป็นแนวเขตบริเวณชายฝั่งทะเล
จึงทำหน้าที่เหมือนเขื่อนหรือกำแพงธรรมชาติที่คอยปะทะพายุและคลื่นลมทะเล
ช่วยปกป้องบ้านเรือนและทรัพย์สินของมนุษย์ไม่ให้เสียหาย

ป่าชายเลน เปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำ
ชาวประมงส่วนใหญ่เริ่มต้นกิจวัตรประจำวันด้วยการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากป่าชายเลน
ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา หรือสัตว์น้ำอื่นๆ พวกเขาสำนึกในคุณค่าของป่าชายเลนว่าเป็น
โรงผลิตอาหารทะเลหรืออู่ข้าวอู่น้ำ ทำให้พวกเขามีอาหารดีๆ รับประทาน และแบ่งขาย
ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องลงทุน

ป่าชายเลนนับได้ว่ามีความสำคัญและประโยชน์มากมายมหาศาล
ซึ่งเป็นแหล่งรวมของพันธุ์พืชสัตว์น้ำและสัตว์บกนานาชนิด ดังนี้
1. ด้านป่าไม้ ไม้จากป่าชายเลนนำมาใช้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆกันนิยมใช้อย่างกว้างขวางในแถบภูมิภาคเอเชีย
คือ นำไม้มาเผาถ่าน ไม้ผืน ไม้เสาเข็ม และเครื่องมือด้านประมงเป็นต้น
- ใช้ทำถ่านไม้จากป่าชายเลนที่นำมาเผาถ่านส่วนใหญ่เป็นไม้โกงกางทั้งนี้เพราะถ่านที่ได้จากโครงการ
มีคุณภาพดีให้ความร้อนสูงเมื่อเปรียบเทียบกับถ่านไม้ชนิดอื่นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งคือเมื่อเผาแล้วมีปริมาณ
ขี้เถ้าต่ำมีราคาดีประเทศไทยสามารถผลิตถ่านได้โดยเฉลี่ยแล้วปีหนึ่งสามารถผลิตถ่านได้ประมาณ 263,334
ลุกบาศก์เมตรหรือคิดเป็นเงินประมาณ895ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับเขตร้อนในเอเชียนับได้ว่าประเทศไทย
ใช้ประโยชน์ไม้โกงกางในการเผาถ่านมากที่สุด
-ทำไม้ฝืน การนำไม้ป่าชายเลนมาทำผืนเพื่อหุงต้มนับว่าสำคัญมากสำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามชาย
ฝั่ง บริเวณชายฝั่งป่าชายเลน
นอกจากนี้บางครอบครัวอาศัยการขายไม้ฝืนจากไม้ป่าชายเลนเป็นรายได้ประจำวันอีกด้วย
-ใช้ทำไม้เสาเข็มและไม้ค้ำยัน ไม้จากป่าชายเลนที่นำมาทำเป็นเสาเข็มกันมากได้แก่ไม้ตาตุ่มและไม้โกงกาง เนื่องจากลำต้นมีลักษณะตั้งตรง
สำหรับในประเทศใกล้เคียงเช่นมาเลเซียและอินโดนีเซียนำไม้จากป่าชายเลนโดยเฉพาะ
ไม้โกงกางมาทำเป็นเสาเข็มอย่างกว้างขวางสำหรับประเทศไทยชาวบ้านมักนำมาทำเป็นเสาเข็มหรือค้ำยัน กระชัง กั้นซู่ หลักสำหรับเลี้ยงหอย หรือใช้ทำเครื่องมือประมงต่างๆ
-ใช้ในการกลั่นไม้ การเผาถ่านไม้ป่าชายเลนนอกจากจะได้ถ่านที่มีคุณภาพแล้ว ยังมีผลิตพลอยได้ที่เป็นของเหลวและก๊าซ
อีกหลายชนิดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจโดยผ่านการควบแน่นจะได้ของเหลวรวมกัน เรียกว่า"กรดไพโรลิคเนียส"อันประกอบด้วย
กรดน้ำส้มเมทธิลแอลกอฮอร์น้ำมันดินนับได้ว่าอุตสาหกรรมการกลั่นไม้มีแห่งเดียวในประเทศไทย คือ จังหวัดระนอง
-ใช้ทำชิ้นไม้สับ การนำไม้ป่าชายเลนมาเป็นชิ้นไม้สับนิยมทำการแพร่หลายในประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ส่วนในประเทศไทย
การนำไม้ในปาชายเลนมาทำเป็นชิ้นไม้สับนับว่ามีปริมาณน้อยมาก
-ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ไม้ป่าชายเลนสามารถนำมาทำเป็นเครื่องประดับบ้าน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ซึ่งมีความสวยงามตามธรรมชาติโดยเฉพาะ
รากไม้ตะบูนขาวที่มีระบบรากสวยงามนำมาตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ได้สวยงาม ราคาแพง
-เป็นแหล่งของแทนนิน เปลือกไม้หลายชนิดยังเป็นแหล่งของแทนนินซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายย่าง เช่นทำหมึกทำสีทำกาวสำหรับ
ติดไม้ย้อมอวนและใช้ในการฟอกหนังพบว่าในเปลือกไม้โปรงมีปริมาณ
แทนนิน ประมาณ 46 % โดยน้ำหนักของเปลือกไม้ หรือพังกาหัวสุมมีประมาณ 41%
-ใช้เป็นยาสมุนไพร ผู้คนที่อาศัยใกล้ป่าชายเลนใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการนำพืชในป่าชายเลนมาใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ ซึ่งพบว่าไม้หลายชนิดที่สามารถมาทำเป็นยาได้

2. ด้านประมง ป่าชายเลนนับว่ามีบทบาทสำคัญมากในการรักษากำลังผลิตประมงชายฝั่งและประมงนอกฝั่ง ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
-เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์น้ำ สิ่งมีชีวิตต่างๆที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน ได้อาศัยอาหารจำพวกอินทรีย์สาร ซึ่งได้จากการย่อยสลายของซากพืช
เศษใบไม้ หรือส่วนต่างๆที่ร่วงหล่นมาจากต้นพืช เช่น ดอก กิ่ง ใบผลเมื่อส่วนต่างๆเหล่านี้ร่วงลงมาก็จะถูกย่อยสลายโดยเห็ด รา แบคทีเรีย โปรโตซัว
รวมไปถึงสัตว์จำพวกปูหอยและหนอนป้องอาหารที่ได้จากการย่อยมีปริมาณโปรตีนสูงเป็นอาหารคืนสู่ระบบนิเวศป่าชายเลนต่อไปนอกจากการย่อยสลาย
ของซากพืชจะเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของป่าชายเลนแล้ว พวกแพลงตอนพืชจำพวกไดอะตอมสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียวและแพลงตอนสัตว์จำพวก
ลูกกุ้งและตัวอ่อนของสัตว์น้ำ ก็เป็นอาหารของสัตว์น้ำอื่นๆได้เช่นเดียวกัน
-เป็นที่อาศัยและอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน ป่าชายเลนมีความสำคัญโดยเป็นที่อยุ่อาศัยและแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจ
พบว่ามีสัตว์ทะเลหลายชนิดที่อาศัยป่าชายเลนเป็นแหล่งวางไข่ และอนุบาลวัยอ่อนเช่นสัตว์จำพวกกุ้งปลาต่างๆนอกจากนี้สัตว์อื่นที่อยู่ตามปากแม่น้ำ
และชายทะเล เมื่อวางไข่ในทะเลแล้วแตกเป็นตัวอ่อนตัวอ่อนก็จะเคลื่อนย้ายมาอาศัยป่าชายเลนเป็นแหล่งหากินและเจริญเติบโต พบว่าปริมาณของ
ไข่ปลาและตัวอ่อนของปลาขึ้นอยู่กับปริมาณกับความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน ซึ่งจะพบมากที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมพบปลาที่สำคัญทางเศรษฐกิจกว่า 30 ชนิด

ป่าชายเลนกับผลผลิตทางประมง

การจับสัตว์น้ำในช่วงปี 2521-2537มีปริมาณไม่ต่ำกว่าปีละล้านตันโดยเฉลี่ยและประมาณแสนล้านตันเป็นกุ้งต่างๆ เช่น กุ้งแชบ๊วย กุ้งกุลาดำ ปลาที่สำคัญ เช่น ปลากะพง ปลากระบอก ปลานวลจันทร์ทะเล ปลาหมอเทศส่วนปูที่สำคัญมีอยู่ชนิดเดียวคือปูทะเลสำหรับหอยมีหอยดำ หอยแครงหอยนางรมหอยจุ๊บแจง เป็นต้นในกลุ่มประเทศแถบเอเชียการเพาะเลี้ยงสัตว์ในบริเวณป่าชายเลน พบว่าส่วนมากทำในรูปแบบของฟาร์มกุ้งในประเทศไทยพบว่าแถบจังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรปราการ สุราษฎร์ธานี จันทบุรีและนครศรีธรรมราช พบว่าในปี พ.ศ.2534ประเทศไทยมีฟาร์มกุ้งจำนวนมากถึง26,145แห่งครอบคลุมพื้นที่ 468,388 ไร่
ได้ผลิตกุ้งน้ำเค็มปริมาณมากถึง 256,940 ตัน

ที่มา :http://www.techno.bopp.go.th/virtual_trip/contents4.php

19 สิงหาคม 2554

น้ำแม่กวงทะลักท่วมบ้านเรือน




        ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดเช้าวันนี้น้ำในแม่น้ำกวงล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน สวนผัก ผลไม้ใน จ.ลำพูน โดยเฉพาะใน ต.อุโมงค์ ต.มะเขือแจ้ ต.เวียงยอง และ ต.ต้นธง อ.เมือง ได้รับผลกระทบกว่า 30 ครัวเรือน ซึ่งทั้ง 4 ตำบล เป็นพื้นที่ลุ่มติดลำน้ำกวง หลังจากมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2 วัน และคืนที่ผ่านมาฝนตกตลอดคืน จึงทำให้ระดับน้ำในลำน้ำแม่กวงเพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายจนประชาชนต้องเร่งอพยพข้าวของขึ้นบนที่สูง ใช้เรือพายเข้าออกบ้าน ส่วนระดับน้ำบางแห่งท่วมสูงถึง 70 เซนติเมตรแล้ว

ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่ สถานี P.81 บ้านโป่ง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ระดับน้ำกวง อยู่ที่ 6.05 เมตร ปริมาณน้ำ 113 ลูกบาศก์เมตร/วินาที และสถานี P.5 สะพานท่านาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน ระดับน้ำกวง อยู่ที่ 4.74 เมตร ปริมาณน้ำ 134 ลูกบาศก์เมตร/วินาที

นายชุมพร อินต๊ะเทพ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.ลำพูนมีปริมาณฝนตกในพื้นที่ประมาณ 70 % ของพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนในจังหวัดลำพูนโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยติดเชิงเขา และที่อาศัยติดลำน้ำ ทั้ง 3 สายหลักของจังหวัด ขอให้ระมัดระวังน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ และเตรียมพร้อมเก็บข้าวของไว้ที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม ในระยะ 1-2 วันนี้

ที่มา breakingnews

15 สิงหาคม 2554

ลงพื้นที่!! เพื่อมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ  ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554 พวกเราทั้ง 4 คน ได้ลงมือปฏิบัติงานเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นครั้งแรก และสถานที่ ที่เราเลือกไปนั่น ก็อยู่ในจังหวัดราชบุรีนี้ละคะ โดยขั้นตอนแรกเราสมทบทุนกับซื้อไม้กวาดอันใหม่ ส่วนการเลือกสถานที่นั้น พวกเราก็เลือกไปวัด วัดที่ค่อนข้างอยู่ใกล้พอที่เราสามารถเดินทางไปได้สะดวก และพวกเราก็ตกลงกันว่า จะไปกวาดใบไม้ที่ วัดเกาะนัมมทาปทวลัญชาราม อ.เมือง จ.ราชบุรี

  ~ มาถึงแล้วว !!! เวลาที่มาถึง ประมาณ 13.00 น.~ 

กลัวคนคิดว่ามาไม่จริง เลยต้องถ่ายรูปเพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าพวกเราไปถึงที่นั้นจริงๆ 5555 วัดเกาะเป็นวัดที่มีพื้นที่บริเวณกว้าง ร่มรื่นย์ เพราะมีต้นไม้เยอะ และสิ่งที่ร่วงหล่นมาจากตั้นไม้นี่แหละคือ สิ่งที่เราต้องช่วยจัดการ :) ถ้าพูดถึงท่านเจ้าอาวาส และ แม่ชีที่อยู่ในวัด ท่านให้ความเมตตาแก่พวกเราเป็นอย่างมากคะ


  ~นี่เป็นแค่บางส่วนของบริเวณเขตวัด ซึ่งกว้างมิใช่เล่น~

เมื่อเราได้เดินสำรวจตรวจตราดูแล้ว -0- พวกเราก็ลงมือปฏิบัติทันที โดยเลือกกวาดในส่วนที่ใบไม้เยอะกว่าบริเวณอื่นๆ ในเขตวัดไม่ค่อยมีขยะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นใบไม้เสียมากกว่า 

~แบบภาพนิ่ง ~


~ แบบภาพเคลื่อนไหว ~


พวกเราใช้เวลาในการกวาดใบไม้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง และเมื่อภารกิจรักษาสิ่งแวดล้อมเสร็จสิ้น ไม้กวาดที่เราซื้อมานั่น เราได้มอบให้เป็นของที่อยู่ภายใต้การดูและของวัดคะ :) 

- ประมวลภาพถ่าย -





สิ่งแวดล้อม คือ ธรรมชาติ เราเกิดมาจากธรรมชาติ ธรรมชาติให้ชีวิตแก่เรา เราเองก็ควรร่วมมือกันรักษาธรรมชาตินั้นเช่นกัน !! 

12 สิงหาคม 2554

บุกรุกป่าเกาะพยายามซ้ำรอยวังน้ำเขียว


การบุกรุกทำลายพื้นที่ป่า ยังเกิดขึ้นอีกหลายแห่ง ล่าสุดครอบครัวข่าว 3 ได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการบุกรุกป่าซึ่งมีต้นไม้อายุกว่า 100 ปี ที่เกาะพยาม จังหวัดระนอง เพื่อทำเป็นรีสอร์ท หลายฝ่ายจึงเกรงว่าจะเกิดกรณีเดียวกับกรณีวังน้ำเขียว








การเดินทางไปเกาะพยาม จังหวัดระนอง ต้องฝ่าคลื่นลมที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากอยู่ในช่วงมรสุมตลอดเดือนที่ผ่านมา หากเป็นเรือเล็กไม่สามารถแล่นเข้าไปได้ และต้องใช้เวลาเดินทางนานเกือบวัน จึงเป็นช่องว่างทำให้ทางการเข้าไปไม่ถึง แม้การเดินทางจะลำบาก แต่ปัจจุบันเกาะพยามเริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และกำลังมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้



เมื่อเดินเข้าไปเพียงจุดแรก ก็ต้องพบกับต้นไม้ใหญ่ ที่ถูกโค่นล้ม แผ้วถาง เป็นบริเวณกว้าง โดยการโค่นต้นไม้ใช้เลื่อยโซ่ยนต์ ร่องรอยที่พบเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ อายุมากกว่า 100ปี เป็นไม้หายาก ถูกโค่นล้มมาประมาณ 1 เดือน ที่สำคัญพบการแบ่งพื้นที่เป็นแปลงย่อยๆ แปลงละ 50-100 ตารางวา เพื่อขายต่อทหารหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 จ.ระนอง ซึ่งเข้าไปตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่า การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำรีสอร์ท หากทำในพื้นที่ป่าสงวนฯ ก็ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะพื้นที่เกาะส่วนใหญ่ เป็นป่าสงวน ขณะที่ผู้มาบุกรุกตัดไม้ทำลายป่ากำลังตรวจสอบว่าเป็นบุคคลมีสี หรือเป็นนายทุน




พื้นที่เกาะพยาม ซึ่งขณะนี้มีบุคคลจากหลายพื้นที่เข้าไปอยู่อาศัย บางส่วนอาศัยมานานแล้ว แต่ไม่มีเอกสารการครอบครองที่ดิน มีเพียงเอกสาร สปก.เพื่อทำกินห้ามซื้อขาย แต่สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันมีคนต่างถิ่นเข้าไปอยู่เพื่อทำธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งตรวจสอบ เพราะพื้นที่มีลักษณะซ้ำรอยที่วังน้ำเขียว

ที่มา

3 สิงหาคม 2554

"นกเตน"ทำสุโขทัยจมน้ำ ตากเตือนใต้เขื่อนให้ระวัง





จ.สุโขทัย สุดช้ำพิษพายุ "นกเตน" ไม่ทุเลาทำให้ ตลาดสวรรคโลกจมใต้บาดาล ขณะที่ จ.ตาก ประกาศเตือนพื้นที่ใต้เขื่อนระวังน้ำเชี่ยว หลังจากที่เขื่อนภูมิพลอั้นไม่ไหวต้องเร่งระบายน้ำทิ้ง...


ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2554 ว่า ระดับน้ำในแม่ยมบริเวณ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ยังอยู่ในขั้นวิกฤตปริมาณน้ำยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุด เมื่อเวลา02.00น. ระดับน้ำได้ไหลเข้าท่วมพื้นที่ตลาดสวรรคโลก จนพ่อค้าแม่ค้าต้องขนของหนีน้ำขึ้นมาขายบนหลังถนนทำให้การจราจรติดขัดถนนสาย สวรรคโลก – ศรีสำโรง บริเวณสี่แยกโรงพยาบาลถึงโรงเรียนสวรรอนันต์วิทยาระดับสูงถึง 1 เมตร รถสัญจรไปมาไม่ได้ ชาวบ้านหลายหมู่บ้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไม่มีอาหารและน้ำดื่ม



ด้านทางเทศบาลเมืองสวรรคโลก ระดมเครื่องสูบน้ำและกระสอบทรายทำแนวกั้นน้ำริม แม่น้ำยม และระดับน้ำยังไหลเข้าท่วมพื้นที่ ต.ป่ากุมเกาะ ต.ย่านยาว ต.คลองกระจง ต.เมืองบางยม และต.ปากน้ำ ถนนหลายสายใช้การไม่ได้ชาวบ้านต้องใช้เรือท้องแบนในการเข้าออกหมู่บ้าน เพื่อมาหาซื้ออาหารน้ำดื่มและอุปกรณ์ในการยังชีพ และสระพานที่ใช้ข้ามได้เหลืออยู่ 3 แห่ง คือ สะพานพัฒนาท้องถิ่น สะพานสมเจตน์รมณ์ ต.ย่านยาว และสะพานคลองกระจง





ขณะที่ ผู้สื่อข่าวรายงานที่ จ.ตาก หลังจากที่เขื่อนภูมิพล อ.สามเงา จ.ตาก ลดการระบายน้ำ เพราะหวั่นไปกระทบปริมาณน้ำในลุ่มเจ้าพระยา ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมากกว่าปีที่แล้วในวันเวลาเดียวกันกว่า 4,500 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้งฤดูฝนยังยาวอีกหลายเดือน แต่เขื่อนภูมิพลมีน้ำกักเก็บแล้วกว่า 64% ของความจุอ่าง จึงต้องเริ่มมีการระบายน้ำเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากทางภาคเหนือตอนบนมีภาวะน้ำท่วมหลายจังหวัด เนื่องจากน้ำทั้งหมดจะไหลลงสู่เขื่อนภูมิพลเป็นหลัก หากไม่ระบายออกอาจจะสร้างความยุ่งยากหากน้ำเต็มอ่าง

ขณะนี้ เขื่อนภูมิพลมีน้ำกักเก็บทั้งสิ้น 8,621 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 64.04% ของความจุอ่าง โดยวันนี้เขื่อนภูมิพลระบายน้ำลงสู่แม่น้ำปิง 25 ล้านลูกบาศก์เมตร จากที่เคยระบายวันละ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลเข้าวันละประมาณ 77 ล้านลูกบาศก์เมตร และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นขอเตือนประชาชนที่อยู่ท้ายเขื่อนโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยริมตลิ่งแม่น้ำ ปิงทั้งสองฝั่ง โปรดระวังเนื่องจากกระแสน้ำมีความเชี่ยวและมีระดับสูงอาจจะเป็นอันตรายกับ เด็กและผู้ที่ประกอบอาชีพอยู่ริมแม่น้ำปิง

29 กรกฎาคม 2554

อุทยานฯ ตั้งเป้า เพิ่มเสือโคร่ง 2 เท่าใน 12 ปี

จากสถานการณ์เสือโคร่งในประเทศไทยลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันพบเหลือเพียง 190–250 ตัว ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ได้ในอนาคต เนื่องจากสภาพผืนป่าที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยลดน้อยลง ยังทำให้แหล่งอาหารอย่าง กระทิง วัวแดง เก้ง กวาง และหมูป่าลดลงลดลงไปด้วย ขณะเดียวกันเสือโคร่งยังถูกมนุษย์คุกคามจากการลักลอบล้าค้า เนื่องในวันอนุรักษ์เสือโคร่งซึ่งตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี ในปีนี้จะจัดงานขึ้นที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
นายสุนันท์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช บอกถึงสถานการณ์เสือโคร่งในปัจจุบันว่า อยู่ในภาวะถูกคุกคามอย่างหนักจากกระบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าที่มีราคาซื้อ-ขายในตลาดมืดสูงมาก ทำให้เสือโคร่งถูกล่ามากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมากรมอุทยานฯ ได้มีการจัดชุดลาดตระเวนออกปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในถิ่นอาศัยของเสือโคร่ง และได้ขอความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการช่วงเป็นหูเป็นตา หากพบการล่าและการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย ให้รีบแจ้งมายังกรมอุทยานฯ ทันที
“ปีนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ของการจัดงานวันอนุรักษ์เสือโคร่ง โดยสืบเนื่องมาจากความร่วมมือกับองค์กรด้านการอนุรักษ์ระหว่างประเทศ ที่มีการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชียด้านการอนุรักษ์เสือโคร่งครั้งล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมา ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ก็มีแนวทางอนุรักษ์ร่วมกันกับองค์การอนุรักษ์เสือโลก หรือ GTI โดยกำหนดให้วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันอนุรักษ์เสือโคร่ง ร่วมถึงตั้งเป้าหมายร่วมกันในการเพิ่มจำนวนประชาการเสือโคร่งในป่าของประเทศที่เป็นแหล่งอาศัยของเสือโคร่งให้ได้เป็น 2 เท่าภายในปี 2565 หรือ 12 ปีข้างหน้าด้วย” อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าว
ด้าน ดร.ธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอดีตประชากรเสือโคร่งมีจำนวนมากถึง 1 แสนตัว ที่อาศัยอยู่ใน 13 ประเทศในแถบทวีปเอเชีย แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 3,500 ตัว ส่วนในประเทศไทยเหลือเพียง 190–250 ตัว โดยจากข้อมูลของสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าพบว่า มีประชากรเสือโคร่งหนาแน่นมากที่สุดที่เทือกเขาตะนาวศรี ในบริเวณผืนป่าตะวันตกของไทย
ส่วนกิจกรรมในวันอนุรักษ์เสือโคร่ง จะมีการเดินรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์เสือโคร่งจากกรมอุทยานไปยังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และยังมีการเสวนาวิชาการเพื่อการอนุรักษ์เสือโคร่งผ่านมุมมองจากผู้ปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ โดยได้รับเกียรติจากหม่อมหลวงปรียากร วรวรรณ ผู้มีประสบการณ์จากการติดตามถ่ายภาพเสือมาอย่างมากมาย ยังมีผู้แทนจากสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า อย่างคุณพรกลม จรบุรม และ ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเสือโคร่งจากกรมอุทยานฯ มาร่วมเสวนาในครั้งนี้ด้วย.

เกิดแผ่นดินไหวขนาด5.8ริกเตอร์ในฟิลิปปินส์








(10พ.ค.) เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.8 ริกเตอร์นอกชายฝั่งของเกาะมินดาเนาทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์เมื่อเวลา 3.13 น.วันนี้ตามเวลาท้องถิ่นหรือ 2.13 น.เช้านี้ตามเวลาไทย โดยศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้ทะเล 35 กม.และห่างจากเมืองเจเนอรัล ซานโตส ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 160 กม. แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหาย

ส่วนสถานการณ์พายุโซน ร้อน "แอรี"พัดขึ้นฝั่งจังหวัดคาตันดัวเนสของฟิลิปปินส์เมื่อวันอาทิตย์ทำให้เกิด น้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 คนแล้ว โดย 10 คนจมน้ำเสียชีวิต, 3 คนเสียชีวิตเนื่องจากดินถล่มทับบ้าน, 1 คนถูกไฟดูด, 1 คนถูกรถชน และอีก2 คนเสียชีวิตด้วยปัญหาสุขภาพ ประชาชนราว 33,000 ครอบครัวได้รับผลกระทบ พื้นที่เพาะปลูกข้าวและข้าวโพดได้รับความเสียหายเกือบ 45,300 ไร่

และเมื่อวานนี้พายุได้พัดกระหน่ำหลายจังหวัดทางภาคเหนือของเกาะลูซอนและ ค่อยๆอ่อนกำลังลง โดยจนถึงค่ำพายุอยูห่างจากจังหวัดคากายันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 85 กม. และพายุกำลังเคลื่อนตัวออกจากฟิลิปปินส์มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้คาดว่าพายุจะอยู่ห่างจากเกาะโอกินาวาของญี่ปุ่นไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 130 กม.เช้าวันพฤหัสบดี
ที่มา http://www.komchadluek.net

19 กรกฎาคม 2554

"อินโดฯ"อ่วมหนัก!สึนามิถล่ม-ภูเขาไฟระเบิด ล่าสุดแผ่นดินไหวอีก5ริกเตอร์ ดับแล้วนับ100ศพหายกว่า500




กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยรายงานว่า เมื่อเวลา 07.17 น. ช่วงเช้าที่ผ่านมาตามเวลาในไทยได้เกิดแผ่นดินไหวบริเวณทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 5 ริกเตอร์ ลึกจากระดับผิวดิน 10 กิโลเมตร





ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อคืนวันที่ 25ต.ค. เวลาประมาณ 21.45 น.ตามเวลาในประเทศไทยได้เกิดเหตุแผ่นดินไหววัดความแรงได้ 7.7 ริกเตอร์ หมู่เกาะเมนตาไว ทางตะวันตกของเกาะสุมาตราทำให้เกิดสึนามิสูง 3 เมตรกวาดหมู่บ้านหายไป 10 หมู่บ้าน มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 112 คน สูญหายอีก 502 คน ขณะที่อีก 13 คนเสียชีวิตหลังภูเขาไฟเมราปีทางตอนกลางของประเทศปะทุ 3 ครั้ง

แผ่นดินไหวที่ SOUTHWEST OF SUMATRA, INDONESIA
ขนาด : 5.0 ริกเตอร์
จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว : SOUTHWEST OF SUMATRA, INDONESIA
วันที่ : 27 ตุลาคม 2553 07:17 น.
ละติจูด : 3° 28′ 48′′ ใต้
ลองจิจูด : 99° 29′ 24′′ ตะวันออก
ความลึกจากระดับผิวดิน : 10 กิโลเมตร





"อินโดฯ"อ่วมหนัก!สึนามิถล่ม-ภูเขาไฟระเบิดติอต่อกัน
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานความคืบหน้า จากเหตุคลื่นยักษ์ หรือสึนามิ พัดถล่มกวาดล้างหมู่บ้าน 10 แห่ง ในหมู่เกาะเมนตาไว ทางตะวันตกของเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า ยอดผู้เสียชีวิตขณะนี้ เพิ่มเป็นอย่างน้อย 112 ราย และสูญหาย 502 คน
นายมุดจิฮาร์โต หัวหน้าศูนย์วิกฤตกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า คลื่นสึนามิที่หมู่เกาะเมนตาไวสูง 3 เมตรและน้ำทะลักเข้าไปในแผ่นดินไกลถึง 600 เมตรบนเกาะเซาท์ ปาไกที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ร้อยละ 80 ของอาคารในหมู่บ้านมุนไตถูกคลื่นซัดทำลาย และผู้คนจำนวนมากหายไปกับสายน้ำ ทีมกู้ภัยยังกำลังตามหาเรือลำหนึ่งที่เชื่อว่า บรรทุกนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย 9 คน กับญี่ปุ่น 1 คนที่สูญหายไปหลังสึนามิด้วย
นายมุดจิฮาร์โต กล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่การแพทย์กำลังใช้เฮลิคอปเตอร์เดินทางไปยังพื้นที่ซึ่งประสบภัยพิบัติเลวร้ายที่สุด แต่พบอุปสรรคจากการขาดการติดต่อสื่อสารในภูมิภาค
ขณะที่นายวิศณุ วิจายา ผู้ประงานองค์กรช่วยเหลือ "ดีแซสเตอร์ แมเนจเมนต์" กล่าวว่าทีมกู้ภัยจากกรุงจาการ์ต้าจะประสานงานกับทีมท้องถิ่นเพื่อขนย้ายศพ และส่งความช่วยเหลืออด้านอาหาร ยารักษาโรค เต้นท์และผ้าห่ม
เมื่อวันที่ 27 ต.ค. มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ทางการอินโดนีเซียว่า พบนักเล่นกระดานโต้คลื่นออสเตรเลีย 9 คน ที่สูญหายไปแล้ว ด้านแถลงการณ์กระทรวงต่างประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ชาวออสเตรเลียทั้ง 9 คนปลอดภัยและยังมีชีวิตอยู่ หลังขึ้นเรือท่องเที่ยว “เอ็มวี เซาเธิร์น ครอสส์” ขณะที่พวกเขาไม่ทราบว่าเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา ยังได้เกิดเหตุภูเขาไฟเมราปี ในภาคกลางของเกาะชวา ระเบิด 3 ครั้ง ทำให้ผู้คนจำนวนมากหนีตายอย่างตื่นตระหนก และคร่าชีวิตคนไป 13 คน
ผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟของรัฐบาลอินโดฯ เปิดเผยว่า มีเสียงระเบิดสามครั้งเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ก่อนที่ภูเขาไฟจะพ่นลาวาสูง 1.5 กิโลเมตร และส่งหมอกควันร้อนลงมาตามเนินเขา โดยเจ้าหน้าที่พบ 12 ศพ ใกล้ภูเขาไฟ ทั้งภายในและรอบๆ บ้านของคุณปู่มาริจาน ผู้ดูแลภูเขาไฟและบอกว่า พวกเขาเสียชีวิตเพราะถูกเผาโดยหมอกควันร้อนจากภูเขาไฟ
โดยหน่วยกู้ภัยพบร่างผู้เสียชีวิตจำนวน 12 รายภายในและบริเวณศาลของเทพเจ้าภูเขาไฟ โดยคาดว่าอาจพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก เนื่องจากสภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยต่อการค้นหานัก เนื่องจากถนนหลายแห่งถูกทำลาย และภูเขาไฟยังคงมีความไม่แน่นอน และอาจระเบิดได้ตลอดเวลา โดยยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับรายงานล่าสุดเมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น อยู่ที่ 25 ราย
ทางการอินโดนีเซีย ประกาศให้พื้นที่ 10 กิโลเมตรรอบภูเขาไฟ เป็นเขตพื้นที่สีแดง โดยสั่งให้ประชาชนกว่า 19,000 คนที่อาศัยอยู่โดยรอบเร่งทำการอพยพ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟของอินโดนีเซียกล่าวว่า การระเบิดของภูเขาไฟเมราปิ ซึ่งมีความสูง 2,914 เมตรครั้งนี้ มีความรุนแรงกว่าการระเบิดเมื่อปี 2006 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย





โดยการระเบิดที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นเมื่อปี 1930 โดยประชาชนมากกว่า 1,300 รายเสียชีวิต และการระเบิดเมื่อปี 1994 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 60 ราย
รายงานระบุว่า อินโดนีเซียตั้งอยู่บน"วงแหวนแห่งไฟ"ของแปซิฟิค (Ring of Fire) อันเป็นจุดบรรจบของแผ่นเปลือกทวีป ทำให้มักเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด


ที่มา : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1288143666&grpid=01&catid=01

15 กรกฎาคม 2554

SHOCK!!!!! "red rain" หรือ "blood rain" (ฝนเลือด)


ปรากฏการณ์ฝนสีแดง ครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นเมื่อราวๆ สี่ปีที่แล้วที่เคราลาประเทศอินเดีย โดยที่ฝนสีแดงได้ตกต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนานถึงสองเดือน ซึ่งในปรากฎการณ์นี้มีรายงานว่าได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นก่อนที่ฝนสีแดงจะเทลงมา ซึ่งโดยเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์ได้สรุปว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากอุกกาบาติที่พุ่งเข้ามาในชั้นบรรยากาศและระเบิดขึ้นในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 25กรกฎาคม โดยที่ฝุ่นละอองจากการระเบิดนั้นได้ทำให้เกิดสปอร์จำนวนมหาศาล ซึ่งสปอร์เหล่านั้นได้เข้าไปสะสมอยู่ในกลุ่มเมฆและทำให้น้ำฝนเป็นสีแดง


อย่างไรก็ดีนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ทำไมสปอร์จำนวนมหาศาลไม่ปลิวไปตามลมและตกไปสู่บ้านเรือนแถวนั้นบ้าง?...น้ำฝนดังกล่าวได้ถูกรวบรวมและได้ถูกส่งข้ามโลกไปตรวจสอบที่แลปไมโครไบโอโลยีของมหาวิทยาลัย Sheffield ประเทศอังกฤษ สิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจยิ่งกว่าเพราะว่าสปอร์ดังกล่าวเป็นของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าบางทีแล้วการที่ดาวหางพุ่งชนโลกเมื่อหลายล้านปีก่อนได้นำเอาเซลของสิ่งมีชีวิตติดมาด้วยและเซลเหล่านั้นได้วิวัฒนาการมาเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลกปัจจุบัน..


ดร. หลุยส์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย ได้กล่าวไว้ในเว็บไซน์ของเขาว่า เมื่อเอาน้ำฝนดังกล่าวไปตรวจสอบก็ได้พบเซลส์ของสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุคาร์บอนและอ๊อกซิเจนอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานอย่างไรก็ดีเขาไม่พบ DNA จากเซลส์ดังกล่าว ซึ่งสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้จะมี DNA เป็นส่วนประกอบ การที่ไม่มี DNA นั้นแสดงว่าเซลส์สิ่งมีชีวิตนี้ไม่ใช่ผลิตผลทางชีวภาพบนโลก อย่างไรก็ดีดร.หลุยส์ก็ไม่ได้ฟันธงลงไปว่าแท้จริงแล้วเซลส์นั้นมาจากต่างดาวจริงเนื่องจากว่าไม่เคยมีการค้นพบหลักฐานของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวมาก่อน (อย่างดีก็แค่ฟอสซิลของแบคทีเรียจากดาวอังคาร แต่นี่ก็เป็นแนวคิดที่ดีที่สุดเกี่ยวกับปรากฎการณ์ฝนสีแดงในขณะนี้..

8 กรกฎาคม 2554

ฮือฮา!พบฝูงวาฬบรูด้า โผล่หากินบางแสน-เขาสามมุก



อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลฯ เผยพบวาฬแม่-ลูก ที่เคยหากินทะเลสมุทรสาคร โผล่พร้อมฝูงปลาวาฬบรูด้าอีก 5 ตัว แถวทะเลเขาสามมุกกับบางแสน นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปี...
เมื่อวันที่ 8 ก.ค. นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ทช. โดยศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ได้สำรวจพบปลาวาฬคู่แม่ลูก “แม่ข้าวเหนียว” และลูก “เจ้าส้มตำ” บริเวณนอกชายฝั่ง จ.สมุทรสาคร เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และในต้นเดือนก.ค.นี้ ได้สำรวจพบว่า แม่ลูกคู่นี้หากินฝูงปลากะตักอยู่ใกล้ชายฝั่งบริเวณเขาสามมุข-หาดบางแสน จ.ชลบุรี โดยพบว่า “เจ้าส้มตำ” มีขนาดความยาวเพิ่มขึ้นจาก 6 เมตร เป็น 7 เมตรเศษ และยังคงหากินใกล้ชิดกับ “แม่ข้าวเหนียว” ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ยังพบปลาวาฬขนาดใหญ่อีก 5 ตัว รวมทั้งหมดจำนวน 7 ตัว หากินในบริเวณเดียวกันนี้ ในรัศมีห่างฝั่ง 2-5 กิโลเมตร น้ำลึก 10-11 เมตร ซึ่งปลาวาฬอีก 5 ตัว ที่พบในครั้งนี้เป็นตัวที่มีตำหนิชัดและตั้งชื่อแล้ว 3 ตัว คือ “เจ้าวันดี”, “เจ้าชัดเจน” และ “เจ้านำโชค” ทั้ง 3 สามตัวนี้พบหากินนอกชายฝั่ง จ.เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร เมื่อเดือน เม.ย.ถึงมิ.ย. และในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา สำรวจพบปลาวาฬบรูด้าบริเวณเขาสามมุข-หาดบางแสน จ.ชลบุรี เพียง 3 ครั้งเท่านั้น
นายเกษมสันต์ กล่าวต่อว่า กล่าวได้ว่า อ่าวไทยตอนบนเป็นแหล่งอาหารของปลาวาฬบรูด้าที่สำคัญมาก ซึ่งอาหารหลักได้แก่ ฝูงปลาขนาดเล็ก เช่น ปลากะตักและปลาหัวตะกั่ว เป็นต้น การจำแนกประชากรปลาวาฬบรูด้าโดยใช้ภาพถ่ายนั้น พบว่ามีจำนวนทั้งหมด 35 ตัว มีพื้นที่หากินส่วนใหญ่คืออ่าวไทยตอนบน และบางฤดูกาลจะอพยพย้ายตามอาหารลงไปทางใต้
ขณะเดียวกัน ทช.ยังมีโครงการศึกษาพฤติกรรมของปลาวาฬบรูด้าโดยใช้เสียงร้อง กับนักวิจัยต่างประเทศในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปชมปลาวาฬบรูด้าให้ปฏิบัติตามคู่มือการชมโลมาและปลาวาฬ ซึ่งสามารถศึกษาได้จากเว็บไซต์ของ ทช. และ ทช. รวมทั้งกำลังดำเนินการจัดทำเอกสาร เรื่องภาพถ่ายของปลาวาฬบรูด้า หากท่านสนใจเข้าร่วมงานอนุรักษ์ปลาวาฬบรูด้าของประเทศไทย สามารถเข้าร่วมโครงการแจ้งข่าวสารการพบเห็นปลาวาฬบรูด้ากับ ทช. ได้ในโอกาสต่อไป
ที่มา ไทยรัฐ

1 กรกฎาคม 2554

ทอร์นาโดถล่มใจกลางเมืองสหรัฐ



สำนักข่าวต่างประเทศ เผยแพร่ภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดบนอาคารแห่งหนึ่ง ย่านใจกลางเมืองสปริงฟิลด์ เมืองใหญ่อันดับ 3 ของรัฐแมสซาชูเสต สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา
       โดยความรุนแรงของพายุทอร์นาโดอย่างน้อย 2 ลูก โหมกระหน่ำพื้นที่ทางตะวันตกและทางตอนกลางของรัฐแมสซาชูเสต ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 4 คน พร้อมทั้งสร้างความเสียหายอย่างหนักบริเวณย่านในกลางเมืองสปริงฟิลด์ เมืองใหญ่อันดับ 3 ของรัฐ ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเสต ประกาศภาวะฉุกเฉิน พร้อมขอให้รัฐบาลกลางส่งกองกำลังรักษาการณ์แห่งชาตินับพันคนมาช่วยผู้ประสบภัย นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง เหตุพายุทอร์นาโดถล่มครั้งนี้ นับเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปีของรัฐแมสซาชูเสต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสเสี่ยงกับภัยพายุทอร์นาโดในระดับต่ำ
          นอกจากนี้ยังได้มีการประกาศเฝ้าระวังภัยจากพายุทอร์นาโดในหลายพื้นที่ บริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกของสหรัฐ รวมทั้งที่เมืองฟิลาเดลเฟีย นครนิวยอร์ก และนครบอสตัน

24 มิถุนายน 2554

แผ่นดินไหวหมู่เกาะในอลาสกา 7.5 ริกเตอร์






สํานักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุฯ ระบุ เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ บริเวณ หมู่เกาะเอลูเทียน อลาสกา ยังไม่ได้รับรายงานความเสียหาย หรือประกาศแจ้งเตือนสึนามิ...




เมื่อเวลา 10.09 น. 24 มิ.ย. สํานักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า เกิดแผ่นดินไหวมีจุดศูนย์กลางอยู่บริเวณ หมู่เกาะเอลูเทียน อลาสกา ห่างจากเกาะอมักตา ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 64 กิโลเมตร หรือที่ละติจูด 52.08 องศาเหนือ ลองจิจูด 171.65 องศาตะวันตก ความลึก 50 กิโลเมตร ขนาด 7.5 ริกเตอร์ ในเบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานความเสียหาย หรือประกาศแจ้งเตือนสึนามิ



ขณะที่สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) รายงานเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวว่า มีจุดศูนย์กลางที่หมู่เกาะฟอกซ์และหมู่เกาะเอลูเทียน ของอลาสกา ขนาด 7.2 ริกเตอร์ ความลึกลงไปในผิวดินประมาณ 62.6 กิโลเมตร ยังไม่ได้รับรายงานถึงความเสียหายใดๆ ในขณะนี้






ที่มา http://www.thairath.co.th/

17 มิถุนายน 2554

เขื่อนจีนแตกน้ำท่วม 18 เมืองในมณฑลเจ้อเจียง

ฝนตกหนักทำเขื่อนแตก น้ำทะลักท่วม 18 เมืองในมณฑลเจ้อเจียง โคลนถล่มทับบ้านเรือน 2,500 หลัง ถนน 350 เส้นถูกตัดขาด...




สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ว่า จีนยังคงเผชิญอุทกภัยหนัก ประชาชนกว่า 120,000 คน ทางตะวันออกของประเทศ ต้อง
อพยพออกจากที่อยู่อาศัย ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มกว่า 170 ราย และมีผู้สูญหายอีกจำนวนหนึ่ง







เว็บไซต์ข่าวซินหัวรายงานล่าสุดว่า เขื่อนกักเก็บน้ำในมณฑลเจ้อเจียงแตกช่วงเช้าวันศุกร์ ส่งผลให้น้ำท่วมมากถึง 18 หมู่บ้าน ส่วนสถานการ์ณตอนนี้ฝนยังตกไม่หยุด รวมถึงมีรายงานดินโคลนถล่มทับบ้านเรือน 2,500 หลัง นำ้ท่วมตัดขาดถนน 350 เส้นทาง





ที่มา http://www.thairath.co.th/content/oversea/179765

10 มิถุนายน 2554

หายนะความหวานเรือน้ำตาลล่ม อับปางสูญ200ล้าน

เรือบรรทุกน้ำตาลพ่วง 3 พุ่งชนตอม่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้เรือพ่วงลำที่ 2 ลำเรือแตกวิ่งชนตลิ่งกระแทกบ้านคนเสียหาย ด้านผู้ว่าฯ สั่งกู้ภัยเร่งขนน้ำตาลออกจากเรือหวั่นทำน้ำเน่า มีกลิ่นเหม็น...






เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 31 พ.ค.54 พ.ต.ต.จักรพันธ์ ธูปเตมีย์ สารวัตรเวร สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งว่ามีเหตุเรือบรรทุกน้ำตาลพุ่งชนตอม่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหมู่ 2 ต.ภูเขาทอง จึงรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา พบเรือบริษัทไทยมารีนซัพพลาย จำกัดบรรทุกน้ำตาลทรายแดงมาจำนวน 3 ลำ เกิดอุบัติเหตุกระแสน้ำพัดแรงขณะวิ่งลอดใต้สะพานท้ายเรือลำที่ 1 ฟาดกับตอม่อเรือเสียหลักลำที่ 2 จึงพุ่งชนตอม่อจนเรือแตก ลูกเรือจึงตัดเชือกออกเรือลำที่ 3จึงลอยกลางแม่น้ำส่วนเรือลำที่ 2 บรรทุกน้ำตาลทรายแดงจำนวน 2400 ตันมีมูลค่า 200 กว่าล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่า สภาพเรือด้านหน้าและด้านข้างแตกหัวเรือพุ่งเข้าฝั่งตรงหน้าบ้าน ของนายฮาโลน มาทอง อายุ 56 ปีเลขที่ 2/3 หมู่ 2 ต.ภูเขาทอง อ.พระนครศรีอยุธยาทำให้ตลิ่งพัง บ้านเรือนเสียหายต้องขนของอพยพหนีหวั่นบ้านพังส่วนท้ายเรือน้ำเข้าเริ่มจมลง ครึ่งลำเรือแล้ว





จากการตรวจสอบเรือดังกล่าวรับจ้างขนน้ำตาลทรายแดง จากบริษัทไทยรวมทุนคลัง สินค้า อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง เพื่อขนส่งไปยังประเทศอินโดนีเซีย พอถึงที่เกิดเหตุกระแสน้ำแรงเรือยนต์วิ่ง ผ่านไปได้แล้วแต่ท้ายเรือลำที่ 1 ฟาดเข้ากับตอม่อแล้วลอยไปจอดหน้าวัดท่าการ้อง ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1 กม. ลำที่ 2 ชนตอม่ออย่างแรงจนเรือแตก และจมอับปาง ลำที่ 3 ลอยกลางแม่น้ำไปจอดหน้าวัดพระงามนาวาโทรชต ผกาฟุ้ง หัวหน้าจ้าท่า จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า เรือบรรทุกน้ำตาลหนัก 2.4 ตัน จมเพียงลำเดียวส่วนเรืออีก 2 ลำไม่ได้รับความเสียหายจึงได้สั่งการให้วางทุ่น และออกประกาศให้หยุดเดินเรือ ไปก่อนจนกว่าจะกู้เรือได้สำเร็จ ต่อมานายวิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ได้ไปตรวจสอบและให้เร่งประสานงานเจ้าของเรือเพื่อหาทางที่จะกู้น้ำตาลในท้อง เรือขึ้นจากแม่น้ำเจ้าพระยาให้เร็วที่สุด เพราะว่าถ้าช้าเกรงว่าจะทำให้น้ำเสีย และส่งกลิ่นเหม็น




ที่มา ไทยรัฐ

3 มิถุนายน 2554

ทอร์นาโดถล่มสหรัฐฯรอบใหม่ เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย




พบผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งหลังเกิดพายุทอร์นาโดไม่ต่ำกว่า 2 ลูกพัดถล่มพื้นที่ตอนกลางและทางตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซตต์สของสหรัฐฯ
          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ว่า พบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งหลังเกิดพายุทอร์นาโดไม่ต่ำกว่า 2 ลูกพัดถล่มพื้นที่ทางตอนกลางและทางตะวันตกของมลรัฐแมสซาชูเซตต์สของสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำวันพุธที่ผ่านมา
             รายงานข่าวระบุว่า   กองกำลังจากหน่วย ‘National Guard ‘ มากกว่า 1,000 นาย  รวมถึง เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงและทีมกู้ภัยอีกจำนวนหนึ่ง  ถูกส่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน    หลังมีรายงานว่า พื้นที่หลายเขตโดยเฉพาะทางตะวันตกของรัฐได้รับความเสียหายอย่างหนัก
            ด้านโดเมนิค ซาร์โน   นายกเทศมนตรีของเมืองสปริงฟิลด์ออกมาแถลงว่า  เมืองในความดูแลของตนได้รับความเสียหายหนัก    หลังจากที่พายุทอร์นาโดได้พัดถล่มพื้นที่เกือบครึ่งเมืองพังราบเป็นหน้ากลอง   ขณะที่บริษัทเวสเทิร์น  แมสซาชูเซ็ตต์ส  อิเล็กทริค   ผู้ให้บริการจ่ายกระแสไฟฟ้ารายใหญ่ทางตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซ็ตต์สระบุว่า   พายุทอร์นาโด ได้ทำให้พื้นที่มากกว่า 15,400 จุดไม่มีไฟฟ้าใช้.

ทีมา ไทยรัฐ

29 พฤษภาคม 2554

ไอซ์แลนด์..ปิดสนามบินหลังภูเขาไฟระเบิด



ไอซ์แลนด์์  ปิดสนามบินนานาชาติหลัก และยกเลิกเที่ยวบินภายในประเทศทั้งหมด หลังจากเกิดภูเขาไฟระเบิดส่งควันและเถ้าถ่านพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศสูงถึง 20 กิโลเมตร

ภูเขาไฟกริมสว็อตน์ ซึ่งเป็นภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งแผ่นใหญ่ที่สุดทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์เกิดระเบิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยควันภูเขาไฟได้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงถึง 20 กิโลเมตร ล่าสุดทางการไอซ์แลนด์ได้ตัดสินใจปิดสนามบินหลัก คือสนามบินนานาชาติเคฟลาวิก และสั่งห้ามเที่ยวบินในรัศมี 220 กิโลเมตรโดยรอบ เนื่องจากเกรงว่าฝุ่นละอองและเถ้าถ่านจะเข้าไปในเครื่องยนต์ของเครื่องบิน และทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น

ขณะที่หน่วยงานด้านการบินของยุโรปเผยว่า เถ้าถ่านภูเขาไฟยังไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางบินในยุโรป รวมถึงเส้นทางบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วง 24 ชั่วโมงนี้ แต่ถ้าภูเขาไฟยังคงปะทุต่อไปด้วยอัตราเท่าเดิม เถ้าถ่านก็อาจจะลอยไปถึงสก็อตแลนด์ภายในวันอังคารนี้ และจะไปถึงอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปนภายในวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์

การระเบิดของภูเขาไฟกริมสว็อตน์ครั้งนี้ ถือว่าใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี แต่จะไม่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเหมือนเหมือนครั้งที่แล้ว ที่มีผลต่อการสัญจรทางอากาศของผู้คนประมาณ 10 ล้านคน

ที่มา krobkruakao

15 พฤษภาคม 2554

สถิติสึนามิครั้งใหญ่ของโลก



วอยซ์ ทีวี   รวบรวมเหตุการณ์สึนามิที่รุนแรงที่สุดในโลก 5 อันดับ
เหตุการณ์สึนามิ ครั้งล่าสุด ที่เกิดขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ นับเป็นภัยพิบัติสึนามิที่รุนแรงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยสึนามิครั้งนี้เกิดจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งมีความรุนแรง 8.9 ริกเตอร์ โดยมีความสูงของคลื่นถึง 10 เมตร เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คน และมีการประกาศเตือนภัยในอีกหลายประเทศที่มีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแปซิฟิค

สึนามิที่มีความรุนแรงเป็นอันดับ 4 คือ เหตุการณ์สึนามิในยุโรป ที่เกิดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2298 ซึ่งเกิดจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 9.0 ริกเตอร์ที่บริเวณชายฝั่งกรุงลิสบอน เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส นับเป็นเหตุแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก โดยคลื่นสึนามิได้ส่งผลกระทบถึงประเทศโปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ ไอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และฮอลแลนด์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 100,000 คน

สึนามิที่มีความรุนแรงเป็นอันดับ 3 ได้แก่ เหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิที่รู้จักกันในชื่อ "กู๊ด ฟรายเดย์" ซึ่งเกิดจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 9.2 ริกเตอร์ ที่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 28 มีนาคมในปี 2507 คลื่นสึนามิมีความสูงถึง 11.5 เมตร และเคลื่อนที่ไปกระทบชายฝั่งเมืองอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามด้วยประเทศแคนาดาและฮาวาย โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน

ภัยพิบัติสึนามิที่รุนแรงที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ก็คือเหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ที่เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 26 ธันวาคม ในปี 2547 โดยเริ่มต้นจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีความรุนแรงถึง 9.1 - 9.3 ริกเตอร์ ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิสูงสุดถึง 30 เมตร กระจายตัวไปทุกทิศทุกทาง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 230,000 คน ในประเทศ 14 ประเทศที่ได้รับผลกระทบ

สึนามิครั้งรุนแรงที่สุดของโลก คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์สึนามิในชิลี ในวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2503 ซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงถึง 9.5 ริกเตอร์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุด หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวเพียงไม่นาน สึนามิได้กระทบชายฝั่งชิลี ตามด้วยฮาวาย ญี่ปุ่น ซาโมอา และนิวซีแลนด์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราว 2,700 คน

ที่มา VoiceNews